HIV ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

ต้องขอเกริ่นก่อนเลยนะครับ ว่าผมเป็นผู้ติดเชื้อรายหนึ่ง ซึ่งการเกริ่นหัวกระทู้แบบนั้น ไม่ใช่เป็นการชี้นำเรื่องการไม่ใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์นะครับ แต่เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ติดเชื้อรายอื่นๆ หรือผู้ที่กำลังวิตกกังวลอยู่.... เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ

ผมติดเชื้อมากว่า 5 ปีแล้ว ทุกวันนี้ชีวิตผมก็ยังปกติสุขดี เผลอๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรงกว่าตอนที่ยังไม่รู้เสียอีก 555 ขอย้อนความไปเมื่อตอน 7-8 ปีที่แล้ว ซึ่งผมก็ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น คึกคะนอง ไม่รู้จักกลัว เพราะความไม่กลัวนั้นเลยทำให้เราไม่ป้องกันตัวเองขณะมีเพศสัมพันธ์ (แต่ผมไม่เคยเป็นฝ่ายบอกว่าไม่ให้ใส่นะครับ อีกฝ่ายจะเป็นคนเลือกว่าจะใส่หรือไม่ ซึ่งผมก็ไม่ได้ห้าม) ตอนนั้นเราก็สนุกกับชีวิตดี เฮฮาปาร์ตี้ เที่ยวกลางคืน ตกดึกก็กลับกับคนแถวนั้น ตื่นเช้าก็แยกย้าย เป็นแบบนี้อยู่ในระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเพื่อนที่รู้จักกันเข้ามาเตือน

เพื่อน : ...ได้กับ A (นามสมมุติ) รึยัง แล้วป้องกันรึเปล่า
เรา : ทำไมวะ
เพื่อน : ได้ยินมาแว่วๆ ว่าเค้าเป็น H
เรา : ....บ้าน่า ไม่หรอกมั้ง
เพื่อน : ยังไงก็ระวังๆไว้หน่อย ไปตรวจบ้างก็ดีนะ

พอได้ยินแบบนั้นเราก็เริ่มเครียด เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปแบบไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดี เริ่มจะมีผลกระทบกับเราแล้ว แต่ช่วงเวลานั้นด้วยความที่เรายังเด็ก ยังวัยรุ่นอยู่ ยังมีความกลัวมากกว่าความกล้า ก็เลยปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป (ถึงแม้จะนอนไม่หลับไปเป็นเดือนๆก็ตาม)

จนเวลาผ่านมาเกือบ 3 ปี เราก็แต่งตัวไปเที่ยวตามปรกติ พอไปถึงร้านแล้วนั่งได้ซักพักยุงก็เริ่มกัด ทีนี้มันคันมากกว่าปกติ คันจนไม่สามารถนั่งต่อไปได้ จึงขอตัวกลับ ผ่านไปได้ 2 วันรอยที่โดนยุงกัดยังคงบวมอยู่ เราก็เลยไปหาเภสัช ขอซื้อยาแก้แพ้แมลงมาทา ก็ยังไม่หาย เราก็เริ่มจะสงสัยตัวเองละ สิ่งที่เราฝังไว้ 3 ปี ย้อนกลับมาหาตัวเองว่า เห้ย อาการมันออกแล้วหรือเปล่า เลยกลับห้องมาหาข้อมูล โป๊ะเช๊ะ อาการคล้ายๆที่เราเป็นเลย นั้นก็คือ PPE [ Pruritic papular eruption of HIV] พอเริ่มรู้ตัวว่าใช่แน่ๆแล้ว ก็เริ่มจิตตกละ แต่ยังดีที่จิตด้านสว่างชนะด้านมืด 555
เราก็เลยถามตัวเองว่า "ให้รู้ไปเลยว่าเป็น หรือจะรอวันตาย " พอได้คำตอบก็ไปจ้าาา ไปตรวจเลือดเลย ผมเลือกไปตรวจที่คลินิกนิรนาม ใช้เวลา 1 ชม. ในการรอผล ซึ่ง 1 ชม. นั้นเหมือน 10 ชม. เวลาช่างยาวนานเหลือเกิน TT พอเค้าเรียกคิวเราทีนี้หัวใจเต้นเป็น 3 ช่าเลยทีเดียว 555

หมอ : ทำไมถึงมาตรวจเลือดครับ
เรา : คิดว่าน่าจะเป็นครับหมอ
หมอ : ไม่กลัวหรอ
เรา : กลัวมันก็กลัวครับหมอ แต่ถ้ามันเป็นไปแล้ว เราจะทำอะไรได้ ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปแล้วอยู่กับมันให้ได้ (ยิ้มอ่อน)
หมอ : ผลเลือดเป็นบวกนะครับ หลังจากนี้ก็ทานยา ดูแลตัวเอง บลาๆๆๆๆๆ

เอาละทีนี้มาถึงหัวข้อกระทู้กันบ้าง ทำไมผมถึงบอกว่า มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ยกตัวอย่างเป็นข้อๆ กันไปเลยนะครับ
1. เราต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ผมจากที่ปกติแทบไม่เคยดูแลตัวเองเลย เราต้องหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น หรือเรียกง่ายๆว่า เราไม่ปกติเหมือนคนอื่นเค้าแล้ว เราเลยต้องดูแลตัวเองให้มากกว่าปกติ ออกกำลังกาย อาหารการกิน พักผ่อนให้เพียงพอ "เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่อย่างคนปกติ"
2. อันนี้เป็นเหตุผลส่วนตัวนะครับ พอผมได้เป็นโรคนี้แล้ว ได้ใช้ชีวิตอยู่กับมันแล้ว ผมรู้สึกว่า โรคอื่นที่น่ากลัวกว่านี้เยอะแยะมากมาย แต่ทำไมคนถึงไม่กลัวกัน ทำไมคนถึงฆ่าตัวตายเพราะว่าติดเชื้อ HIV มากกว่าโรคอื่นๆ ผมเองรู้สึกว่า ผมกลัวโรคเบาหวาน กลัวโรคไต และกลัวมะเร็งมากกว่า HIV เสียอีก
3. อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่า เพื่อนคนไหนยังอยู่กับเรา หรือคนไหนเลือกที่จะเดินไปจากเรา ถ้าเค้าเดินไปจากเรา เราจะไม่โกรธเค้านะครับ บางทีเค้าอาจจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้มากนัก หรือเค้าก็อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้เรา ก็ควรปล่อยเค้าไป 55 (ซึ่งเพื่อนผมที่รู้ ไม่มีใครเดินจากไปซักคน มีแต่ด่าซ้ำเติม และคอยจี้เหมือนเป็นแม่อีกคน)
4. มีวินัยขึ้นมานิดนึง ><" เพราะเราต้องกินยาให้ตรงเวลา ถ้าหากกินไม่ตรงเวลา แล้วเกิดดื้อยา ผลเสียมันค่อนข้างเยอะ ไหนจะต้องเปลี่ยนยา ราคาแพงขึ้น กินตัวเดิมไม่ได้แล้วเพราะดื้อยาไปแล้ว เพราะงั้น เราเลยต้องมีวินัยในการกินยา มันเลยส่งผลไปถึงเรื่องอื่นๆด้วย
5. ป่วยน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก ปกติผมจะเจ็บคออยู่เป็นประจำ 1-2 เดือนครั้ง โดยประมาณ แต่ทุกวันนี้ปีละครั้งก็ว่าได้ อีกอย่างเราต้องหาหมออยู่เป็นประจำ หมอจะนัดตรวจเลือดทุกๆ 6 เดือน ก็จะมีตรวจโรคอื่นรวมอยู่ด้วย คล้ายๆกับตรวจสุขภาพประจำครึ่งปีก็ว่าได้
6. ทำให้เราคิดมากขึ้น ไตร่ตรองมากขึ้น ว่าถ้าหากทำสิ่งใดไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แล้วเรารับมันได้ไหม เพราะการที่เราทำอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด มันจึงทำให้เราเป็นแบบนี้ ถ้าหากเรายังทำอะไรโดยไม่คิดอยู่อีก ผลร้ายที่ตามมา มันอาจจะรุนแรงกว่าที่เราเจอตอนนี้ก็ได้   

จริงๆแล้วถ้าเราเปลี่ยนมุมมองของเรา เรื่องร้ายๆมันอาจจะไม่ได้ร้ายอย่างที่คิด ตอนนั้นผมก็อายุประมาณ 18-19 ที่มีคนบอกผมว่าผมอาจจะติด พอ 21 ผมถึงรู้ว่า เราเป็นจริงๆแล้วละ ซึ่งมันค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่มาก สำหรับเด็กคนนึงที่ต้องมารับรู้แล้วต้องมาเป็นโรคแบบนี้ แต่หลังจากที่ผมรู้ผมยังอยู่กับมันได้มาได้ตั้งเกือบ 5 ปี ทำไมคนอื่นจะอยู่กับมันไม่ได้ ถ้าตอนนั้นผมช้าไปกว่านั้นอีกซักนิด คงไม่มีผมในวันนี้ ผมยังงงตัวเองเลยตอนนั้น cd4 อยู่ 30 แล้วรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง เพราะงั้นแล้วอย่ารอเลยครับ อย่ารอให้มันช้าเกินไป คิดง่ายๆเลยครับ " กลัวจะรู้ว่าเป็น มากกว่ากลัวตายงั้นหรอ " แล้วอย่าคิดแค้นใครคนนั้นเลยครับที่ทำให้เราเป็น ให้คิดซะว่าตัวเราเองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตัวเองเป็นเช่นกัน คิดซะว่ามันเป็นกรรมเก่าของเรา เพราะฉะนั้นแล้ว ให้มันจบลงที่เราในชาตินี้ อย่าเอาไปแพร่ให้คนอื่น อย่าให้มันเป็นบาปติดตัวไปในชาติหน้าเลย

ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ กระทู้นี้ที่ตั้งขึ้นมา ก็เพื่ออยากจะให้คนที่เป็นโรคนี้สู้ต่อไปครับ เพราะผมก็ได้กำลังใจจากชาวพันทิปไปไม่น้อยเช่นกัน ถ้าอยากได้คำปรึกษา หรือมีปัญหาอะไร หลังไมค์มาได้นะครับ ผมพร้อมยินดีให้คำปรึกษา
ฝากไว้นะครับ " อย่ากลัวที่จะรู้ อย่าให้รู้ในวันที่สาย เป็น H ไม่ถึงตาย ก้าวต่อไป โรบินฮู้ดดดดดด " แล้วก็ยืดอกพกถุง กันด้วยนะครับ หัวเราะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่